Site icon scg-towiwat.com

5 วิธีเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นในบ้าน

5 วิธีเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นในบ้าน
5 วิธีเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นในบ้าน

5 วิธีเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นในบ้าน

5 วิธีเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นในบ้าน แนะนำการเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่ของบ้าน ทั้งในเรื่องประเภท ขนาด รูปแบบ ผิวสัมผัส และโทนสี

วัสดุตกแต่งพื้นบ้านในปัจจุบันมีมากมายหลายประเภท ทั้งยังมีสารพัดรูปแบบ สีสัน และลวดลายอีกด้วย แต่หากพูดถึงวัสดุตกแต่งพื้นที่เจ้าของบ้านนิยมเลือกใช้กันคงหนีไม่พ้น “กระเบื้องเซรามิก” เนื่องด้วยมีรูปแบบที่หลากหลาย เข้ากับการแต่งบ้านทุกสไตล์ อีกทั้งมีความแข็งแรง และทำความสะอาดง่ายอีกด้วย

สิ่งสำคัญของการเลือกซื้อกระเบื้องมาปูพื้นคือต้องคำนึงถึงการใช้งาน และความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ รองลงมาจึงเป็นด้านความสวยงาม และการดูแลรักษา ซึ่งเรามี 5 วิธีในการเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นให้ถูกใจ และเหมาะกับแต่ละพื้นที่ มาแนะนำให้เจ้าของบ้านที่กำลังสร้างบ้านหรือปรับปรุงบ้านดังต่อไปนี้

ภาพ: ห้องทำงานภายในบ้าน แต่งในโทนขาว

1. เลือกกระเบื้องสำหรับปูพื้นเท่านั้น

เพราะพื้นต้องรับน้ำหนักทั้งผู้อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของต่าง ๆ จึงต้องใช้กระเบื้องปูพื้นที่มีความแข็งแรง ซึ่งได้แก่ กระเบื้องประเภท Floor Tile (ห้ามนำกระเบื้องบุผนังมาปูพื้นโดยเด็ดขาด) กระเบื้องเนื้อพอร์ชเลนที่มีทั้งแบบเคลือบสีหรือลวดลาย กับแบบที่ผิวหน้ากับตัวกระเบื้องเป็นเนื้อเดียวกันซึ่งนิยมเรียกกันว่า กระเบื้องแกรนิตโต

• กระเบื้อง Floor Tile 

มีความหนาประมาณ 6 มม. ลักษณะที่สังเกตได้คือเนื้อจะมีสีน้ำตาลหรือสีขาวครีม เคลือบสีและลวดลายที่ผิวหน้าทั้งแบบด้าน มัน และแบบหยาบ บางรุ่นมีผิวสัมผัสหรือร่องลายตามลวดลาย

ภาพ: กระเบื้อง Floor Tile

• กระเบื้องพอร์ซเลนเคลือบผิว

มีความหนาประมาณ 10 มม. มีการเคลือบสี ลวดลาย ผิวสัมผัสทั้งแบบด้าน มัน และหยาบที่ผิวหน้า สามารถมองเห็นชั้นผิวกระเบื้องแยกกับเนื้อกระเบื้องได้อย่างชัดเจน มีค่าการดูดซึมน้ำต่ำ มีความแข็งแกร่งสูง ใช้งานได้ทั้งภายนอก และภายในบ้าน แต่หากมีการขูดขีดลึกถึงเนื้อกระเบื้องจะสังเกตเห็นได้ง่าย ไม่สวยงาม

• กระเบื้องแกรนิตโต 

เป็นเนื้อกระเบื้องพอร์ชเลนที่มีความหนาประมาณ 10 มม. เช่นกัน แต่จะมีผิวหน้าและตัวกระเบื้องเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแผ่น ในกรณีที่ผิวหน้ามีรอยขูดขีดหรือแตกกะเทาะจะมองเห็นได้ยาก พื้นผิวมีทั้งด้าน มัน และหยาบ การใช้งานโดยทั่วไปเช่นเดียวกับกระเบื้องพอร์ชเลน

2. เลือกกระเบื้องให้เหมาะกับพื้นที่การใช้งาน

• พื้นภายนอก

เช่น ทางเดินรอบบ้าน บันไดเข้าออกตัวอาคาร หรือที่จอดรถ ควรเลือกกระเบื้องที่มีความแข็งแกร่ง รับน้ำหนักได้ดี มีพื้นผิวหยาบ (ค่าการกันลื่นไม่น้อยกว่า R11) กระเบื้องไม่เคลือบเงา เพราะเมื่อฝนตก อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้

• พื้นภายในบ้าน

สามารถเลือกกระเบื้องเนื้อแบบใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน แต่ถ้ามีผู้สูงอายุ หรือเด็กเล็ก อาจเลือกเป็นกระเบื้องแบบเนื้อด้าน ไม่มันเงาเพื่อความปลอดภัย

• พื้นห้องน้ำ

ควรเลือกกระเบื้องที่มีผิวหน้าที่หยาบ และไม่เคลือบผิวเงา (ค่าการกันลื่นไม่น้อยกว่า R10) โดยหมั่นทำความสะอาดกำจัดคราบไขมันเป็นประจำ เพราะทำให้พื้นผิวที่หยาบลื่นได้

3. เลือกใช้ขนาดให้เหมาะสมกับขนาดห้อง

สำหรับห้องที่มีขนาดเล็ก อาจเลือกใช้กระเบื้องแผ่นเล็ก ขนาด 12”x12”, 16”x16” หรือกระเบื้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อให้ห้องดูกว้างขึ้น ส่วนห้องที่มีขนาดใหญ่ สามารถเลือกใช้กระเบื้องแผ่นใหญ่ได้ เช่น ขนาด 24”x 24” หรือ 24”x48”

4. เลือกรูปแบบ ลวดลาย และโทนสีกระเบื้องให้เข้ากับสไตล์บ้าน

รูปแบบและลวดลายของกระเบื้องมักจะสัมพันธ์กัน อย่างเช่น กระเบื้องลายหินมักเป็นกระเบื้องสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ กระเบื้องลายไม้มักเป็นกระเบื้องสี่เหลี่ยมแผ่นยาว (ลักษณะเหมือนไม้กระดาน) กระเบื้องลายกราฟิกอาจมีรูปทรงอื่นอย่างหกเหลี่ยม การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสไตล์การตกแต่งบ้าน เช่น กระเบื้องลายหินจะเหมาะกับสไตล์โมเดิร์น คลาสสิก ร่วมสมัย โดยถ้าเป็นผิวเงาจะทำให้ดูหรูหรามากขึ้น กระเบื้องลายไม้เหมาะกับการตกแต่งแนวธรรมชาติ หรือแนวร่วมสมัย ทั้งยังให้ลุคโมเดิร์นได้ด้วย

ด้านโทนสี สำหรับกระเบื้องโทนสีอ่อนจะเหมาะกับการใช้งานภายในอาคาร เพราะหากนำไปใช้งานนอกอาคาร ผิวกระเบื้องต้องสัมผัสกับแดด ลม และฝนตลอดเวลา อาจทำให้เกิดรอยด่าง รอยขีดข่วน และคราบต่างๆ ที่สังเกตเห็นได้ง่าย อย่างไรก็ดี กระเบื้องโทนสีอ่อนทำให้ห้องดูสว่างตา และยังช่วยทำให้พื้นที่ห้องขนาดเล็กหรือแคบดูกว้างขึ้นได้ ส่วนกระเบื้องโทนสีเข้ม เหมาะกับพื้นที่นอกอาคาร ที่ต้องโดดแดดฝนอยู่บ่อยๆ เพื่อไม่ให้สังเกตเห็นรอยต่างๆ ได้ชัดมากนัก หรือพื้นที่ภายในบ้านบริเวณที่ต้องรองรับการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ หรือวางสิ่งของจำนวนมากๆ พื้นผิวที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี คราบน้ำมัน น้ำ อยู่บ่อยๆ เช่น ห้องครัว โรงรถ ห้องน้ำ ระเบียง เพราะกระเบื้องในโทนสีเข้มจะช่วยลดปัญหาในการทำความสะอาด ดูแลรักษาง่าย

5. เลือกเกรดกระเบื้องตามการใช้งาน

โดยทั่วไปกระเบื้องปูพื้นที่ขายในท้องตลาดจะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกรดหลักด้วยกัน คือ

กระเบื้องปูพื้นเกรด A คือ

กระเบื้องที่สมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซนต์ ไม่มีตำหนิเลย โดยสำหรับกระเบื้อง COTTO จะระบุว่าเป็นกระเบื้องเกรด PM ที่ย่อมาจาก Premium Grade

กระเบื้องปูพื้นเกรด B คือ

กระเบื้องมีตำหนิ (ไม่เกิน 3 จุด) แต่สังเกตได้ยาก ราคาต่ำกว่า เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้องโชว์ความสวยงาม เช่น ห้องเก็บของ ใต้เคาน์เตอร์ครัว

นอกจากการเลือกกระเบื้องปูพื้นที่เหมาะสมและถูกใจแล้ว ในการซื้อกระเบื้องแต่ละครั้งควรซื้อมากกว่าที่คำนวณไว้ประมาณ 5-10% (ขึ้นอยู่กับพื้นที่ รูปแบบการปู และขนาดกระเบื้อง) เผื่อการตัดเศษ หรือแตกหักระหว่างการติดตั้ง โดยควรเป็นกระเบื้องล็อตผลิตเดียวกัน ที่หน้างานควรเตรียมพื้นที่กองเก็บและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย ก่อนติดตั้งควรตรวจสอบรอยแตกร้าวหรือจุดตำหนิในแต่ละแผ่นทุกครั้ง และที่สำคัญควรติดตั้งกระเบื้องให้ถูกวิธี เพื่อให้ได้บ้านสวยตามต้องการ ทั้งยังใช้งานได้คุ้มค่า ยาวนาน

ขอบคุณภาพจาก COTTO

Exit mobile version